วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Smooth & Contemporary Jazz (1980)&Jazz In Present Day

Smooth & Contemporary Jazz (1980)
       ในขณะที่ Miles กำลังประดิษฐ์คิดค้นเส้นทางเดินทางดนตรีในชั้นเชิงศิลปะของเขาอย่างไม่มีมีวันจบสิ้น ในมุมหนึ่งก็ยังมีนัดนตรีที่คิดว่าดนตรีแจ็สน่าจะถูกขยายฐานลงมาในวงกว้างขึ้นและแจ็สน่าจะเข้าไปถึงคนที่ฟังดนตรีป็อปต่างๆอีกด้วย
        โดยแจ็สในรูปแบบนี้ออกจะทำรายได้ในการขายทางการตลาดได้เป็นอย่างดี แจ็สแบบนี้เป็นดนตรีที่ฟังง่ายสบายๆมีการเรียบเรียงเพลงมาเป็นอย่างดี มีริทึ่มที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป บางครั้งมีการนำจังหวะของโซลและฟั้งกี้มาผสมและเมโลดีแบบเพลงป็อป แต่แจ็สในรูปแบบนี้ก็ยังคงได้รับแรงบัลดาลใจจากแนว Fusion Jazz อยู่
         โดยความดีความชอบในครั้งนี้น่าจะยกผลประโยชน์ให้กับ Dave Grusin ผู้ซึ่งเป็นมือเปียโนฝีมือดีอีกคน เขาได้ร่วมกับ Larry Rosen ผู้ซึ่งมีความสนใจในด้านการบันทึกเสียงหรืออาจเรียกว่าซาวด์เอนจิเนียร์ก็ได้ โดยทั้งคู่ได้ก่อตั้งค่ายเพลงในแนว Smooth & Contemporary Jazz ขึ้น โดยตั้งชื่อว่า GRP นั่นเอง และยังมีค่ายเพลงในสไตล์นี้เกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย
        แนวเพลงในสไตล์นี้เป็นที่นิยมกันนอย่างมากใน L.A และนักดนตรีที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลานี้ก็มี Chuck Mangione, John Klemmer, Earl Klugh, Spyro Gyra , George Benson , Lee Ritenour ,Larry Carlton , Bob James เป็นต้น
Jazz In Present Day
        หากมองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่าแจ็สเป็นดนตรีที่มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับและต่อเนื่องและถูกแยกออกเป็นหลากหลายแขนง ปัจจุบันดนตรีแจ็สในแต่ละแนวก็ยังคงมีการพัฒนาการต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อนอีกทั้งยังมีนักดนตรีแจ็สหน้าใหม่ฝีมือดีเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย โดยแต่ละคนต่างก็กำลังคนหาแนวทางใหม่ๆของตนอยู่ แจ็สในแต่ละสไตล์ที่มีมาทั้งหมดในอดีตนั้น ในปัจจุบันก็มีนักดนตรีรุ่นใหม่ๆอนุรักษ์ไว้
        และไม่ว่าในอนาคตจะผ่านไปอีกกี่สิบปีดนตรีแจ็สก็ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท้าจะสูญสิ้นผู้สืบต่อแต่อย่างใดและแจ็สยังคงที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองกับดนตรีแนวต่างๆได้ตลอดเวลา อย่างดนตรีในแนวดรัมแอนด์เบสหรือชิลเอาด์ที่ฮิตในปัจจุบันก็มีนักดนตรีอย่าง Miles เคยทำมาแล้วในยุค 80 ตอนปลายย่างเข้า 90 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าแจ็สสามารถเข้าไปอยู่ได้ทุกที่

Fusion (1970)


Fusion (1970)
              เมื่อย่างเข้าช่วงปลายยุค 60 กระแสดนตรีหลักที่มาแรงเป็นอย่างยิ่งเลยก็คือแนวเพลงร็อก ดนตรีร็อกถูกแพร่กระจายไปอย่างแพร่หลายหนุ่มสาวยุคบุปผาชนต้องการการแสดงออกถึงความอิสระเสรีทางความคิดของปัจเฉกบุคคล ทุกคนต่างใช้การแสดงออกผ่านเสียงเพลง นักดนตรีอย่าง Jimi Hendrix , The Who , The Beatles , Bob Dylan ต่างก้าวขึ้นมาเป็นแรงบัลดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ๆอย่างมากมาย แม้กระทั้งนักดนตรีแจ็สหัวก้าวหน้าอย่าง Miles Davis ที่กำลังต้องการหาแนวทางใหม่ๆให้กับดนตรีของเขา ซึ่งขณะนั้นเขากำลังสนใจดนตรีของ James Brown และดนตรีจังหวะร็อกต่างๆ
               ณ ช่วงเวลานั้นดูเหมือนว่า Miles กำลังสนใจในเสน่ห์ของเครื่องดนตรีไฟฟ้าเป็นอย่างมากและอีกทั้งเขายังได้มีโอกาสที่สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางดนตรีกับ Jimi Hendrix เลยทำให้เขาสนใจในดนตรีร็อกเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นโอกาสที่จะทดลองเช่นนี้ Miles ไม่รอช้าแต่อย่างใด เขาตัดสินใจทิ้งเครื่องดนตรีอย่างดับเบิ้ลเบสหรือเปียโน เพื่อนำเอาเครื่องดนตรีอย่างเบสไฟฟ้าหรือคีย์บอร์ดและเขายังนำเอากีต้าร์ไฟฟ้าเข้ามาใช้ในงานด้วย
                ผลงานของ Miles ในครั้งนี้เขากลับมาพร้อมกลับการทิ้งจังหวะสวิงหรือเพลงที่ต้องมีคอร์ดที่เปลี่ยนอย่างมากมาย เขามาใช้คอร์ดเพียงไม่กี่คอร์ดและเปิดอิสระให้กับนักดนตรีอย่างเต็มที่โดยไม่ปิดกั้นแต่อย่างใด และเขาได้นำเอาจังหวะของร็อกมาใช้อย่างเต็มตัวจนทำให้เกิดอัลบัมชุดประวัติศาสตร์ขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น In The Silent Way , Britches Brew เป็นต้น สองชุดนี้อาจเรียกว่าเป็นอัลบัมที่กำเนิดแนว Fusion Jazz อย่างแท้จริงก็ว่าได้ โดยครั้งนี้ Miles ได้รวบรวมลูกทีมขึ้นมาใหม่ไม่ว่าจะเป็น Wayne Shorter , Joe Zawinul , Chick Corea ,John McLaughlin ,Herbie Hancock และ Michael Brecker และอีกมากมาย (ภายหลังนักดนตรีเหล่านี้เป็นผู้นำความคิดของ Miles ไปต่อยอดในแนวทางของตนอย่างมากมาย)
               แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่ Miles ทำเช่นนี้ก็เกิดความไม่พอใจให้กับนักดนตรีหัวโบราณอีกมากมาย พวกเขาเหล่านั้นสาปแช่งและดูถูก Miles อย่างรังเกียจ ทุกคนต่างประณาม Miles ว่าเขาเป็นตัวทำลายความสวยงามของดนตรีแจ็สที่เคยมีอยู่ลงอย่างสิ้นเชิง แต่ทุกคนหารู้ไม่ว่ากระแสแนวเพลงหลักอีกหนึ่งสไตล์ของแจ็สกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว และแม้ว่าจะมีคนเกลียดมากเท่าไหร่ในทางกลับกันก็มีคนชอบมากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน Fusion Jazz ของ Miles เป็นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักศึกษาและเหล่าคนฟังเพลงร็อกและยังมีแฟนเพลงเก่าๆยังคงติดตามผลงานของเขาอย่างไม่ขาดสาย

Avant Garde – Free Jazz ( 1960 )


Avant Garde – Free Jazz ( 1960 )
        หลังจากที่เกิดสไตล์ Modal Jazz ขึ้นมาแล้ว จากเดิมที่ดนตรีจะต้องให้ความสนใจในเรื่องของ Tonal หรือว่าโทนรวมของเพลงที่ยังต้องยึดคีย์เพลงเป็นหลักแม้จะมีการเปลี่ยนคอร์ดที่พิสดารเพียงใดก็ตาม ก็ยังคงต้องอยู่ในกรอบและโครงสร้างของเพลงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ยังมีนักดนตรีอีกกลุ่มหนึ่งที่ผ่านพ้นจุดเหล่านี้มาอย่างโชกโชนก็เริ่มหาเส้นทางใหม่ๆให้กับตนเอง คนดนตรีเหล่านี้ไม่สนเรื่องของ Tonal แต่อย่างใดเพราะพวกเขาพุ่งความสนใจไปที่ Atonal หมายความว่า ดนตรีที่ไม่สนเรื่องของคีย์เพลงหรือเสียงที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของดนตรีแต่อย่างใด สิ่งที่เป็นความสนใจใหม่ที่เข้ามาก็คือเรื่องของ “ จังหวะ ” และ “ อารมณ์ ”
         อะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวะ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะที่มาจากทางตะวันออกหรือว่าจังหวะจากแอฟริกันหรือพวกเวิล์ดมิวสิก พวกเขาต่างก็นำมันมาเป็นสัดส่วนในการทดลองสไตล์เพลงแนวใหม่นี้ด้วย และสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาเลยก็คือการเล่นที่ออกมาจากอารมณ์หรือจากจิตใต้สำนึกล้วนๆ หรือจะกล่าวว่าเป็นดนตรีเปิดทุกอย่างให้เป็นอิสระก็ได้เช่นกัน
         แจ็สในรูปแบบใหม่นี้อาจเป็นเรื่องยากมากในการที่จะเข้าถึงมัน หลายๆคนก็ต่อต้านมันแต่อีกหลายคนก็ซึมซับมันอย่างอิ่มเอมราวกับเป็นงานศิลปะในแนว Abstract ชั้นเยี่ยม ทั้งนี้ทั้งนั้นแจ็สในแบบ Avant Garde – Free Jazz ผู้ฟังต้องอาจมีพื้นฐานทางดนตรีแจ็สหรือผ่านการฟังแจ็สมาพอสมควร เพื่อจะได้รับรู้กับอารมณ์ของผู้เล่น
นักดนตรีที่โดเด่นในยุคนี้ก็คือ Ornette Coleman , John Coltrane , Albert Ayler ,Cecil Taylor เป็นต้น

Third Stream


Third Stream
       ย้อนกลับมาช่วงยุค 50 อีกครั้ง ขณะที่แนวทางของแจ็สกำลังรุดหน้าออกไปหลายๆสาย ก็ยังมีนักดนตรีที่เติบโตมาจากการได้รับอิทธิพลและการฝึกฝนบทเพลงมาอย่างโชกโชน แต่ก็มีใจรักในดนตรีแจ็สเช่นกัน นักดนตรีกลุ่มนี้ต่างก็ได้ทำงานทดลองออกมาในแนวที่มีการผสมผสานดนตรีคลาสสิกและแจ็สเข้าไป ทำให้โลกของดนตรีแจ็สยิ่งเพิ่มสไตล์ที่หลากหลายมากขึ้นไปอีก นักดนตรีคนสำคัญของสไตล์นี้และอีกทั้งยังเป็นบุคลที่ชาวอเมริกันให้เกียรติ์ และยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของชาติอเมริกาไปแล้วนั่นคือ George Gershwin
     งานเพลงที่แต่งโดยเขานั้นสื่อให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างชัดเจนว่าแจ็สและคลาสสิกสามารถเข้ากันได้ จะเห็นได้จากเพลง Rhapsody in Blue ที่มีความหมายโดยนัยยะว่ามาจากคลาสสิกและแจ็ส และอีกคนที่ขาดไม่ได้เลยก็เห็นจะเป็น Miles Davis เช่นกัน
       Miles เองก็ได้ทำงานเพลงรวมกับนักแต่งเพลงและนักเรียบเรียงเพลงรวมไปถึงเป็นคอนดักเตอร์ในวงออเคสตร้าอย่าง Gil Evans อีกด้วย ผลงานที่ Miles ร่วมกับ Gil นั้นส่วนใหญ่จะเป็นงานที่มีวงออเคสตร้าขนาดใหญ่รองรับอยู่ของหลัง และยังถูกเรียบเรียงเสียงประสานเป็นอย่างดี

Bossa Nova


Bossa Nova
       ดนตรีในแนวบอสวาโนว่านั้นอาจจะผิดแปลกจากแจ็สที่เกิดขึ้นในอเมริกาที่มีมาทั้งหมด นั้นเพราะบอสวาโนไม่ได้เกิดขึ้นในอเมริกานั้นเอง แต่บอสวาโนเป็นดนตรีทางพื้นเมืองของชาว บลาซิล และบอสวาโนเป็นดนตรีที่มีอายุเก่าแก่มาก
       ในช่วงต้นๆของยุค 60 นั้น ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการที่จะส่งนักดนตรีในประเทศไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะแถบละตินอเมริกา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน และนักดนตรีที่ได้ชักนำเอาบอสซาโนว่าเข้ามาก็คือ Stan Getz นั้นเอง เพราะเขาได้ไปพบนักดนตรีชื่อดังอย่าง Joao Gilberto ,Antonio Carlos Jobim สองแกนนำที่คิดค้นดนตรีบอสซาโนว่าขึ้น ต่อทั้งในอเมริกาและตามแถบละตินอเมริกาต่างก็นิยมเล่นดนตรีแนวนี้เป็นอย่างมาก

Modal Jazz


Modal Jazz
        เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงปลายของทศวรรษ 50 นักดนตรีทั้งหลายก็เริ่มต้นค้นหาเส้นทางใหม่ๆของแจ็ส เพราะด้วยแนวทางเดิมๆที่ได้มีอยู่นั้นเริ่มเป็นเรื่องที่ออกจะน่าเบื่อเกินไปซะแล้ว ดนตรีที่เคยอิมโพรไวส์กันเร็วจี๋อย่างบีบ็อบก็เป็นแค่การไล่ตามคอร์ดที่คอยเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาให้ทันเท่านั้น แม้จะดร็อปจังหวะลงมาเป็นคูลแล้วก็เป็นเพียงแค่การเล่นที่ให้ความรู้สึกสบายไม่ต้องรีบร้อนอะไรมาก เมื่อเห็นดังนั้นแล้วบุคคลที่เรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกดนตรีแจ็สก็คงจะหนีไม่พ้น Miles Davis อย่างแน่นอน เขาและ John Coltrane ได้รวมทีมในยุคใหม่ขึ้นมาซึ่งได้แกนนำตัวสำคัญที่เป็นฟันเฟืองที่ทำให้เกิดเป็นสไตล์ Modal Jazz ขึ้นมาได้ก็คือยอดนักเปียโนอย่าง Bill Evans
        Bill เป็นคนแจ็สที่ไม่ได้เล่นรวดเร็วหรือหวือหวาแต่อย่างใด แต่เขาเป็นคนที่เล่นรองรับและหนุ่นให้เครื่องดนตรีอื่นๆมีความโดดเด่นได้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นเป็นดังนี้ Miles จึงได้ทำการทดลองโดยการที่ลดและตัดทอนคอร์ดที่เยอะเพื่อให้เกิดช่องงว่างสำหรับนักดนตรีที่อิมโพรไวส์และที่สำคัญเขาเล่มใช้เสียงประสานจากโหมดหรือบันไดเสียงจากเสกลต่างๆมาใช้ในงานเพลงเพื่อให้เกิดเสียงใหม่ๆขึ้นมาและเกิดความอิสระกับความคิดของผู้เล่นมากขึ้น ดังนั้นจึงเกิดมาเป็นผลลัพธ์ในอัลบัม Kind Of Blues ซึ่งจากวันนั้นจนวันนี้อัลบัมชุดนี้ยังคงเป็นอัลบัมที่นักดนตรีทั่วโลกยังคงศึกษากันเป็นอย่างมาก

Hard Bop (1955)


Hard Bop (1955)
        แม้ว่ากระแสของ Cool Jazz จะเข้ามาปกคลุมและเป็นที่นิยมเล่นสำหรับชาว West Cost ทั้งหลาย แต่ช่วงเวลาที่ไม่ทิ้งห่างกันมากนักก็ยังคงมีนักดนตรีใน New York ที่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมและศรัทธาในแนว Bop อยู่ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเหล่าคนดำ พวกเขาไม่ได้ละทิ้งแต่อย่างใด แต่กลับนำมันไปพัฒนาขึ้นมาเป็นสไตล์ใหม่ พวกเขานำเอาสไตล์ของจังหวะที่แตกต่างกันม่ว่าจะเป็น R&B,Soul,Funky รวมไปถึง Gospel เป็นต้นมาผสมกับการเล่นแบบ Bop
        ดังนั้น Hard Bop จึงมีจังหวะที่หนักหน่วงและร้อนแรงแบบบ็อบผสมกับจังหวะที่แปลกใหม่ของดนตรีสไตล์ต่างๆ ทั้งผู้เล่นและผู้ฟังต่างก็มีความสุขและสนุกกับมันเป็นอย่างมาก นักดนตรีที่เล่นในสไตล์นี้ก็มี Art Blakey , Cannonball Adderley , Horace Silver, Wayne Shorter, Lee Morgan, Freddie Hubbard, Hank Mobley, Cedar Walton หรือแม้กระทั่งตัวของ Miles Davis เองก็มีงานชั้นยอดในแนวนี้ออกมาอย่างมากมายด้วย