ดนตรี Jazz
.....ทำไมดนตรี ต้องแจ๊ส......?
ในเรื่องของแจ๊สนั้น มีเรื่องสนุกๆอยู่มากเลยทีเดียว แต่เพราะการที่ดนตรีแจ๊สนั้นถือกำเนิดขึ้นในชนชั้นทาส ประวัติศาสตร์แจ๊สนั้นก็เลยจะไม่ได้ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการ เอาเป็นว่าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคร้าบบ
เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เริ่มจากคำถามที่ว่า"แจ๊ส"คืออะไร ศิลปินแจ๊สคนหนึ่งเคยให้คำจำกัดความสั้นๆว่า “Jazz คือเพลงป๊อบธรรมดาๆที่ถูกเล่นโดยนักดนตรีชั้นยอด” …มันก็จริงนะ… หลายๆเพลงในละคร Boardway ก็ถูกนักดนตรีแจ๊สนำมาเรียบเรียง (Reharmonize) ใหม่ หรือเพลงป๊อบที่ดังๆในสมัยก่อน เช่น Autumn Leave ก็ถูกนำมาเล่นแล้วเล่นอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง แม้กระทั่ง เพลงร๊อคที่โด่งดังอย่าง Smell Like Teen Spirit ของ Nirvana ก็ยังไม่วายถูกนำมาเรียบเรียงใหม่อีกเช่นกัน การเรียบเรียงใหม่ที่ว่านี้ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนคอร์ดให้ดูชับซ้อนขึ้นเท่านั้น แต่ทำนอง (Melody) ก็ยังถูกบิดเบือนไปเพื่อไม่ให้ฟัังดูเลี่ยนอีกด้วย และอีกสิ่งที่สำคัญที่นักดนตรีแจ๊ส เพิ่มเติมลงไปนั้น คือ การอิมโพรไวส์ (Improvise) หรือการเล่นแบบด้นสด หมายถึง การเล่นทำนองที่คิดขึ้นมาในเดี๋ยวนั้น ลงไปบนคอร์ดของเพลง ซึ่งการอิมโพรไวส์นี้นับได้ว่าเป็นหัวใจของดนตรีแจ๊สเลยก็ว่าได้
คราวนี้หลังจากที่เรารู้คร่าวๆแล้วว่าแจ๊สคืออะไร มารู้กันบ้างดีกว่าว่าเริ่มมีแจ๊สได้อย่างไร แจ๊สเกิดจากการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างคนขาวและคนดำทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ ค.ศ. 1700 ชาวยุโรปได้ค้นพบทวีปอเมริกาและย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ที่นั่น และไ้ด้มีการจับพวกคนป่าผิวดำมาจากแอฟริกา ข้ามน้ำข้ามทะเลมาขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของอเมริกาที่เมืองนิวออลีน เพื่อมาค้าเป็นทาส ทาสพวกนี้ถูกกระทำเหมือนกับสัตว์ป่า และถูกขายเหมือนสินค้า เมื่อมาถึงฝั่งก็จะถูกล้างด้วยน้ำปูนขาวและจับล่ามโซ่ไว้รอพวกคนขาวที่เรียกว่า แลนด์ลอร์ด (Landlord) มาเลือกซื้อไป
หน้าที่ของทาสผิวดำสมัยนั้น คือการทำไร่ ทำเหมือง หรือการใช้แรงงานทั่วไป ซึ่งสิ่งที่พวกเขามักจะทำกันอยู่เสมอๆเพื่อให้ลืมความทุกข์ยากและเหน็ดเหนื่อยก็คือ การโห่ร้องโต้ตอบกัน เป็นช่วงๆ นั่นทำให้เกิดสิ่งสำคัญของ แจ๊ส สิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “Call & Respond”

Introduction
แจ็สเป็นดนตรีที่นับว่าสร้างความอิสระให้กับตัวผู้เล่นอย่างยิ่ง ดนตรีชนิดนี้ไม่เคยสร้างกฎตายให้กับตัวของเอง มันสามารถพลิกแพลงและเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา นับว่าเป็นดนตรีที่สามารถสร้างความแปลกประหลาดใจให้ทั้งตัวผู้ที่เล่นร่วมกันรวมไปถึงผู้ฟังด้วย และสิ่งพิเศษและแตกต่างอย่างเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ “ แจ็ส ” สามารถนำสไตล์ของตัวเองเข้าไปรวมกับดนตรีสไตล์อื่นๆที่มีอยู่ในโลกนี้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ไม่ว่ากระแสดนตรีบนโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปกี่ยุคกี่สมัย จะมีดนตรีแนวใหม่ๆขึ้นอีกซักกี่แนว และคนฟังเพลงจะเปลี่ยนแปลงความชอบไปอีกซักกี่ร้อยครั้ง จนทำให้สไตล์เพลงหลายๆสไตล์ได้ตกยุคตกสมัยไป แต่แจ็สก็ไม่เคยได้ตายตามไปด้วย กระแสของแจ็สยังคงไปได้อย่างเรื่อยๆนิ่งๆและสามารถแฝงตัวเข้าไปได้ทุกยุคทุกสมัยและทุกสไตล์และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนิ่งแต่อย่างใด
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับสไตล์นี้และไม่มีทางแยกออกจากกันได้แต่อย่างใดคือ “ Syncopation ” การเล่นแบบขืนจังหวะ และ “ Improvisation ” หรือความหมายในภาษาไทยที่เรียกว่า “ การด้นสด ” หรือจะให้เข้าใจถึงความหมายนี้ให้ชัดเจนก็คือ “ การเล่นที่เกิดขึ้นโดยทันที ไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้ามาก่อน ” สิ่งนี้นับว่าเป็นเสน่ห์ที่เกิดขึ้นมาคู่กับดนตรีแจ็สอย่างหนีไม่พ้น การเล่นแบบนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับนักดนตรี เพราะจะต้องมีความพร้อมในทุกเรื่อง นั่นคือผู้เล่นต้องมีทักษะและความรู้ทางเรื่องทฤษฏีเป็นอย่างมาก
ช่วงเวลาที่เกิดดนตรี แจ็ส ขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจนก็คงต้องย้อนกลับไปซักราวๆปี 1985 ซึ่งเกิดจากคนผิวดำหรือชาวแอฟริกาหรือที่เรียกว่านิโกรนั่นเอง และต้นกำเนิดดนตรีสไตล์นี้ที่แท้จริงนั้นต้องยกให้กับดนตรีสไตล์ “ Blues “
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น