ดนตรีเป็นการแสดงออกของศิลปะที่ก่อเกิดความรู้สึกต่างๆ เร้าอารมณ์ด้วยการนำเสียงระดับสูงต่ำต่างกันและจังหวะต่างกันมาเรียง เรารู้จักดนตรีโบราณของจีนจากภาพจิตรกรรม ประติมากรรม และที่บรรยายไว้ในบทกวีต่างๆที่กล่าวถึงการเล่นเครื่องดนตรี เราจะพบเครื่องดนตรีเก่าๆในสุสานด้วย เครื่องดนตรีอย่างนี้เขาขุดจากสุสาน และมา reconstruct ดูว่า สมัยก่อนน่าจะเล่นแบบนี้ เพลงน่าจะเป็นแบบนี้ แล้วเขียนโน้ตและนำมาบรรเลง
นี่ก็ ซอเอ้อร์หู ซอจีนแต่เล่นเพลงไทย ยังมีพวกซอหัวม้า ที่จริงแล้วซอมีหลายอย่างมาก ซอที่ใช้ในการเล่นงิ้วก็เป็นอีกแบบ มีหลายประเภท







ดนตรีที่ผู้สูงอายุเล่น อย่างบ้านเรามีแต่ศูนย์เยาวชน ที่เมืองจีนจะมีศูนย์ผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุจะเข้ามาเล่นดนตรี เล่นกีฬาว่ายน้ำ หรือมาอ่านหนังสือ มาค้นเอกสารต่างๆ ที่ชอบที่สุดคือ การเดินแบบแฟชั่น คนแก่อายุ 70, 80, 90 ก็เดินอย่างนั้นแฟชั่นกันใหญ่ เขาบอกว่าสมัยเขาหนุ่มๆ สาวๆ ถูกบังคับให้แต่งสีดำสีน้ำเงินอะไรอยางนั้น ตอนนี้เมืองจีนมีเสรีภาพ แล้วแต่รสนิยมของคน ก็ใส่กันใหญ่เลย สีแดงชอบที่สุด
นี่เป็นพวกดนตรีพื้นบ้าน อย่างเมืองจีนจะมีดีด สี ตี เป่า เหมือนบ้านเรา เครื่องดนตรีทำด้วยดินเผา หิน ทองแดง ไม้ เครื่องดีด เช่น กู่เจิง ผีผา เป็นเครื่องดนตรีที่มาจากทางตะวันตกของจีน เครื่องสี เช่น เอ้อร์หู ซอหัวม้าของมองโกล
เครื่องตี เช่น กลอง ฉิ่ง ฆ้อง หยังฉินเป็นขิม หรือว่าดนตรีในศาสนาที่เขาเรียกว่า มู่หยูว แปลว่า ปลาไม้ เป็นเครื่องเคาะจังหวะทำด้วยไม้ ตีก๊อกๆเป็นจังหวะเพื่อให้เกิดสมาธิในการสวดมนต์ เครื่องเป่า เช่น ขลุ่ย หรือปี่ จีนมีทั้ง ตี๋ ขลุ่ยที่เป่าทางยาวแบบขลุ่ยไทย และเซียว คือขลุ่ยผิว เป่าข้างๆเครื่องดนตรีอีกอย่างคล้ายกับโหวตหรือแคนของอีสาน
การสร้างเครื่องดนตรี ถือเป็นศิลปะประเภททัศนศิลป์
ปัจจุบันมีการนำเครื่องดนตรีจีนมาจัดรวมวงเหมือนกับดนตรีออร์เคสตราแบบฝรั่ง
ก่อนจะกล่าวถึงนาฏศิลป์ก็จะพูดถึงดนตรีในช่วงหนึ่งที่น่าสนใจคือ ปลายราชวงศ์ชิงเป็นยุคที่อิทธิพลของดนตรีสากลเข้ามาในเมืองจีน ไม่เฉพาะดนตรีเท่านั้น วัฒนธรรมหลายๆอย่างทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมด้านการศึกษา สมัยก่อนที่เรารู้จักกันคือ การเตรียมตัวสอบเข้ารับราชการ ที่จริงแล้วก็เป็นวิธีการที่ยุติธรรม ไม่ใช่ว่าลูกท่านหลานเธอเท่านั้นจึงจะได้รับราชการ ลูกชาวนาถ้าเป็นคนที่เรียนหนังสือและมีความรู้ดีก็มีสิทธิ์สอบ ความรู้ที่ต้องเตรียมตัวสอบได้แก่ คัมภีร์คลาสสิคของจีน เช่น คัมภีร์ของขงจื่อ และต้องเขียนลายมือได้สวยงาม สอบขั้นสุดท้ายจักรพรรดิเป็นคนตัดสิน เป็นคนถามคำถามต่างๆ ถ้าพอพระทัยคำตอบก็ได้เป็นจอหงวน หรือจ้วงหยวน ได้เข้ารับราชการในราชสำนัก
ถึงปลายราชวงศ์ชิงมีการปฏิรูปการศึกษาให้มีหลักสูตรตามแนวการศึกษาแบบตะวันตก และจะมีวิชาดนตรี (แต่ก่อนดนตรีก็คือดนตรี ไม่เอามาเรียนกันในชั้นเรียน)
บุคคลสำคัญในวงการศิลปะการดนตรีท่านหนึ่งคือ หลี่ซูถง (Lishutong) เป็นคนเกิดในปลายศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1880) และมีชีวิตอยู่สมัยสาธารณรัฐ ตายไปเมื่อ ค.ศ. 1942 ก่อนที่จีนจะปลดแอกสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปี ค.ศ. 1949 ท่านมีความสามารถรอบตัวทั้งด้าน ปรัชญา จิตรกรรม ประติมากรรม ดนตรี สังคมศาสตร์ การศึกษา และเป็นผู้เชี่ยวชาญทางพระพุทธศาสนาด้วย ได้บวชในบั้นปลายชีวิต มีชื่อเสียงในด้านเป็นนักประพันธ์และการแกะตราประทับ เคยเป็นครูดนตรีหลายสถาบัน ส่วนมากก็ให้นักเรียนเรียนโน้ตแบบตะวันตกและนำเพลงสากลมาใส่เนื้อตามกวีนิพนธ์จีน เช่น มีอยู่เพลงหนึ่งท่านเอาทำนองเพลงอเมริกันมาแต่งเนื้อ ชื่อเพลง ซ่งเปี๋ย แปลว่า ลาจาก จะร้องให้ฟัง (ดูเนื้อเพลงในภาคผนวก)
เพลงนี้นับว่าไม่เก่าแก่นัก เป็นเพลงที่แต่งขึ้นในปี ค.ศ. 1914 ก็ไม่ถึง 100 ปี มีรุ่นพี่คนหนึ่งอายุประมาณ 54-55 เล่าว่า อยู่โรงเรียนจีนที่เมืองไทยก็เรียนเพลงนี้ ที่จริงแล้วเป็นเพลงที่สะท้อนศิลปะหลายๆอย่าง รูป รส กลิ่น เสียง ที่ว่าข้างต้น เขาพูดถึงว่า นอกที่พักคนเดินทางที่อยู่ริมถนนโบราณ ได้เห็นภาพหญ้าหอมเขียวขจี
ประสานกับฟ้า คือ จะเห็นสีเขียวกับสีฟ้าเข้าด้วยกัน และหญ้าก็หอมได้กลิ่น ลมพัดผ่านสัมผัสต้นหลิว ก็อาจจะได้ยินเสียงลมพัดรู้สึกสัมผัส และเสียงขลุ่ยผิวเศร้าสร้อยดังๆหยุดๆและพระอาทิตย์ก็ตกลงสู่ภูผาเป็นชั้นๆ เดินทางไปขอบโลกสุดขอบฟ้า เพื่อนรักล้วนจะหนีจากไป ดื่มสุราขุ่นๆรสปร่าขวดหนึ่ง ดื่มสุราในช่วงนั้นจะรู้สึกรสชาติปร่าขมเพราะว่าอยู่ในความเศร้าโศก ความสุขที่ยังเหลือก็สิ้นสุดลง และคืนนี้เราจากกัน แม้แต่ความฝันก็หนาวว้าเหว่ คือจะให้เห็นรูป รส กลิ่น เสียงที่เกิดขึ้นเมื่อจะจากกันก็เป็นขนบของกวีโบราณที่จะพูดถึงการลาจาก เป็นเรื่องเศร้ามาก เพราะสมัยก่อนเมื่อจากกันแล้วมักไม่มีโอกาสกลับมาพบหน้ากันอีก
เมืองไทยก็ชอบใช้ทำนองฝรั่งมาใส่เนื้อเพลงไทย ของจีนเขาไม่แคร์วรรณยุกต์ แต่ของไทยใส่เนื้อไทยเราต้องให้มาตรงเสียง ไม่ใช่แบบโบราณทำนองไม่เข้ากับเสียงวรรณยุกต์ก็ได้
นักแต่งเพลงคนหนึ่งมีคนรู้จักมากชื่อ หวังลั่วปิน (Wangluobin ค.ศ. 1913-1996) เขาเป็นราชาแห่งเพลงตะวันตก คือ แถบซินเกียง ชิงไห่ เช่น เพลง “ณ ที่อันแสนไกลที่นั้น” ได้ความบันดาลใจจากเพลงพื้นเมืองในชิงไห่ เนื้อเพลงหรือทำนองเพลงจะแสดงให้เห็นถึงสภาพทางภูมิศาสตร์แถบนั้น ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าทุ่งกว้างและมีม้าวิ่ง คนที่อยู่แถวนั้นเป็นคนเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน เขาก็พูดถึงว่าอยู่ในที่นั้นที่ห่างไหล มีสาวแสนดี ใครเดินผ่านกระโจมของเธอก็จะต้องหันหน้าไปดู เพราะหน้าของเธอแจ่มใสสวยงามเหมือนดวงตะวันต้องใจคน เหมือนแสงจันทร์กระจ่างในยามค่ำ ฉันยินดีที่จะละทิ้งทรัพย์สมบัติทั้งปวงทั้งหมดมาต้อนแกะอยู่กับเธอ ได้เห็นหน้าเธอทุกวัน ได้เห็นเสื้อผ้าขลิบทอง และหวังจะเป็นแกะตัวน้อยอยู่ใกล้กายเธอ อยากให้เธอใช้แส้เบาๆตีตัวฉันอย่างไม่หยุดเลยเหมือนเวลาขี่ม้า หวังลั่วปิน เขาจะแต่งทั้งเนื้อทั้งทำนองเพลงจะร้องให้ฟังเช่นกัน (ดูเนื้อร้องในภาคผนวก) เมื่อฟังเพลงนี้จะรู้สึกถึงบรรยากาศในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล คนร้องลากเสียงยาวๆเพื่อให้เสียงได้ยินก้องไปไกลแบบเสียงกู่
.jpg)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น